ต่อรองอย่างไรให้คุณได้ค่าจ้างเพิ่มในฐานะ Copywriter

อยากทราบไหมว่า Copywriter ต่อรองค่าจ้างเพิ่มอย่างไร? จริง ๆ แล้วหากคุณรู้ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเจรจาด้วยซ้ำไป

Copywriter คือบุคคลที่ได้รับค่าตอบแทนที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับประเภทของ Copy ที่เขียน บางคนมีรายได้มากถึง 6-7 หลักต่อปี ความสามารถในการเขียน Copy ดึงดูดของพวกเขาสามารถสร้างคุณค่าต่อธุรกิจอย่างมากเพราะมันสามารถสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ กล่าวง่าย ๆ ว่า Copywriting คือการเขียนปิดการขายนั่นเอง

เจ้าของธุรกิจรู้คุณค่าของ Copywriter ตรงจุดนี้ว่าพวกเขาสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ หากไม่มียอดขายก็จะไม่มีรายได้ และพอไม่มีรายได้ก็หมายถึงธุรกิจเจ๊งหรือไปไม่รอด Copywriter ที่ดีสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ พวกเขาเขียนหน้าขายหรืออีเมลเพื่อโปรโมตข้อเสนอต่าง ๆ และถ้าหากเขียนมันได้ดีแล้วล่ะก็ มันสามารถรับประกันได้เลยว่าเจ้าของธุรกิจจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน

การต่อรองราคาค่าจ้างเขียน Copywriting ขึ้นอยู่กับว่าคุณมอบคุณค่าได้มากน้อยเพียงใด ยิ่งคุณสร้างยอดขายมากเท่าใดคุณก็ยิ่งได้รับค่าจ้างมากขึ้นเท่านั้น การมอบคุณค่าให้มากขึ้นเป็นวิธีหนึ่งที่ Copywriter สามารถใช้เจรจาต่อรองเพิ่มค่าจ้างได้ ยิ่งพวกเขาสามารถมอบคุณค่าได้มากเท่าใดก็จะยิ่งมีพลังในการต่อรองมากขึ้นเท่านั้น

แต่ปัญหาคือ Copywriter ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขารับงานที่จ่ายน้อยและบ่นว่าได้ค่าจ้างน้อย หากคุณต้องการสร้างรายได้ 6-7 หลักในฐานะ Copywriter แล้วล่ะก็ คุณต้องมอบคุณค่าให้มากที่สุดให้กับเจ้าของธุรกิจ

หากคุณต้องการทราบว่า Copywriter สามารถเจรจาต่อรองเพิ่มค่าจ้างได้อย่างไร อ่านต่อ…

 

Copywriter ที่มีค่าจ้างสูงคือคนที่สร้างคุณค่าได้อย่างมาก

การต่อรองเพิ่มค่าจ้างจะเกี่ยวกับว่าคุณสามารถให้คุณค่าได้มากน้อยเพียงใด ซึ่ง Copywriter ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้ค่าจ้างสูง ๆ มักจะไม่ได้ให้คุณค่ากับผู้ว่าจ้างมากมายเท่าที่ควร

ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย อย่าง Copywriter อาจมีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในการเขียน Copy ไม่มากพอ หรือลูกค้าอาจไม่รู้วิธีการใช้ประโยชน์จากงานเขียน Copy ที่ดี หรือข้อเสนอยังไม่ตรงกับตลาด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณค่าที่คุณสามารถมอบให้กับผู้จ้างได้

แต่บางครั้งก็ไม่ใช้ความผิดของ Copywriter เสมอไป เป็นไปได้ว่าข้อเสนออาจไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากผลิตภัณฑ์ใช้ไม่ได้ผลหรือได้รับรีวิวที่ไม่ดี หากตลาดไม่มีความต้องการของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ มันก็ไม่สำคัญว่า Copy ที่เขียนมาจะดีเพียงใด ผู้คนก็จะไม่สนใจที่จะอ่านหน้าเพจขายอยู่ดี ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งผลต่อคุณค่าที่คุณสามารถส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างได้ในฐานะ Copywriter

Copywriting เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการขายเท่านั้น คุณไม่สามารถตัดสินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากงานเขียน Copy ได้เพียงอย่างเดียว นี่คือเหตุผลที่ Copywriter ที่มีประสบการณ์มักจะเรียกค่าตัวคงที่แต่เอาเปอร์เซ็นต์ของยอดขายจาก Copy ที่เขียนแทน ซึ่งการต่อรองแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยง หากผลิตภัณฑ์ทำได้ไม่ดี พวกเขาก็ยังคงได้รับค่าจ้างตามเวลาเหมือนเดิม

หากคุณต้องการให้คุณค่ากับผู้อื่นคุณต้องให้ค่ากับตัวคุณเองก่อน คุณไม่สามารถคาดหวังให้ผู้อื่นให้ความสำคัญกับเวลาและความสามารถของคุณได้เว้นแต่คุณจะให้ความสำคัญในสิ่งเหล่านั้นกับตัวคุณเองก่อน คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้ว่าตัวเองมีค่าอะไร หากคุณไม่รู้ว่าคำตอบคืออะไร แล้วอะไรที่ทำให้คุณคิดว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณจะรู้ค่าของคุณ จริงไหม?

 

คนที่ใช่และเหมาะสมเป็นวิธีที่ Copywriter เจรจาต่อรองเพื่อเพิ่มค่าจ้าง

ค่าจ้างเขียน Copywriting จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าคุณให้คุณค่ากับใคร Copywriter สามารถมอบคุณค่าได้มากขึ้นหากพวกเขาทำงานร่วมกับคนที่ใช่และเหมาะสม

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณเป็น Copywriter และคุณกำลังเขียน Copy ผลิตภัณฑ์ขายคอร์สอบรมออนไลน์ที่สอนวิธีการทำให้รวยซึ่งมีมูลค่า 30,000 บาท ถ้า Copy ของคุณเปลี่ยนผู้อ่านเป็นผู้ซื้อได้หนึ่งคน มันหมายความว่าคุณได้ช่วยลูกค้าของคุณสร้างรายได้ 30,000 บาท

ทีนี้ลองเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันซึ่งมีมูลค่าแค่ 3,000 บาทดู คุณต้องโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายมากกว่าเดิมถึง 10 เท่าเพื่อให้ได้มูลค่าที่เท่ากัน

การหาลูกค้าที่ใช่และเหมาะสมนั้นสำคัญพอ ๆ กับเขียน Copy ให้เก่ง เพราะคุณสามารถมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นด้วยการทำงานปริมาณเท่าเดิม

ลูกค้าที่มีข้อเสนอราคาสูงจะเปิดกว้างกับการต่อรองเพิ่มค่าจ้างมากกว่า เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้กลับมานั้นมีมูลค่ามากกว่ามาก ดังนั้นค่าจ้างที่พวกเขาจ่ายให้คุณเป็นเพียงอัตราส่วนเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับคุณค่าที่คุณให้

นี่คือสถานการณ์ที่มีแต่ได้กับได้กันทั้งสองฝ่าย ยิ่งคุณสามารถให้คุณค่าได้มากเท่าใด คุณก็ยิ่งสร้างยอดขายให้กับลูกค้าของคุณมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคน ๆ หนึ่งสร้างกำไร อีกคนก็สร้างรายได้ด้วยเช่นกัน นั่นคือเคล็ดลับที่จะทำให้การเจรจาเพิ่มค่าจ้างของคุณประสบความสำเร็จ

 

Mindset ของศัลยแพทย์กับอำนาจในการต่อรองเพิ่มค่าจ้าง

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่า Copywriter เจรจาเพิ่มค่าจ้างอย่างไรที่จะช่วยให้คุณมีอำนาจต่อรอง ในเมื่อคุณมีสิ่งนี้ คุณสามารถสร้างข้อกำหนดและเงื่อนไขที่คุณต้องการได้ กลุ่มเป้าหมายของคุณจะกลัวในการปฏิเสธคุณเพราะพวกเขาอาจสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับพวกเขาไป ซึ่งนั้นก็คือ “คุณ” สงสัยไหมว่าเพราะอะไร?

ลองยกตัวอย่างกรณีของศัลยแพทย์ นี่เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีค่าตอบแทนสูงถึงสูงมาก บางคนอาจมีรายได้มากถึง 7-8 หลักต่อปีเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาถนัดในด้านใด

คุณคิดว่าศัลยแพทย์จะเจอปัญหาในการเจรจาเพิ่มค่าจ้างหรือเปล่า? หรือว่าพวกเขาสามารถเลือกได้? ความจริงก็คือพวกเขาสามารถเรียกค่าจ้างเท่าใดก็ได้ ไม่ว่าจะสูงสักแค่ไหนก็มักจะมีคนยินดีจ่ายเสมอ

นั่นเป็นเพราะทักษะของพวกเขามีค่ามาก มีน้อยคนในสังคมที่มีทักษะด้านนี้ บางคนเห็นเลือดก็จะเป็นลมหรือมือไม้สั่น ฉะนั้นศัลยแพทย์ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างแท้จริง

และการที่จะเป็นศัลยแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณจะต้องผ่านการศึกษาอันหนักหนาสาหัสหลายต่อหลายปี และต้องล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องในการทำสิ่งต่าง ๆ ในด้านนี้ และอย่างที่คุณทราบ มีน้อยคนที่จะผ่านจุดนั้นไปได้และเต็มใจที่จะยอมรับความล้มเหลวและเรียนรู้จากมัน

ด้วยเหตุนี้ศัลยแพทย์จึงได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก Copywriter ก็เช่นกัน คุณต้องคิดแบบเดียวกันหากคุณต้องการทราบว่า Copywriter จะประสบความสำเร็จในการต่อรองเพิ่มค่าจ้างได้อย่างไร ก่อนอื่นคุณต้องคิดว่าตัวเองเป็น Copywriter ที่มีทักษะที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก หากกลุ่มเป้าหมายของคุณไม่ยอมจ่ายค่าจ้างตามที่คุณคิดว่าคุณควรได้ ก็ให้คุณไปหาคนอื่นที่ยอมจ่ายแทน

 

SW Formula เพื่อความสำเร็จในการต่อรองเพิ่มค่าจ้างเขียน Copywriting

คุณต้องมี Mindset บางอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเจรจาเพิ่มค่าจ้าง Mindset นี้รู้จักกันในนาม SW Formula ซึ่งย่อมาจาก

  • Some Will
  • Some Won’t
  • So What?
  • Someone Is Waiting

 

Some Will

การรู้ว่า Copywriter เจรจาต่อรองเพิ่มค่าจ้างอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง แต่การทำให้ลูกค้ายอมรับเงื่อนไขของคุณนั้นเป็นอีกเรื่องที่ไม่เหมือนกัน

ลูกค้าบางคนจะตอบตกลงกับเงื่อนไขของคุณ ซึ่งลูกค้าเหล่านี้คือผู้คนที่ที่คุณต้องการทำธุรกิจด้วย เพราะว่าพวกเขาเข้าใจถึงคุณค่าที่คุณสามารถมอบให้พวกเขา ยิ่งคุณให้ค่ามากเท่าใดคุณก็จะยิ่งมีรายได้มากขึ้นเท่านั้น คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายบริการของคุณให้พวกเขาฟังมากมายเนื่องจากพวกเขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณอยู่แล้วและพวกเขาต้องการความเชี่ยวชาญของคุณ

นี่คือลูกค้าในฝันของคุณที่คุณต้องมองหาเลยก็ว่าได้ พวกเขาเป็นคนที่ที่ทักษะของคุณให้ค่าได้มากที่สุด อาจเป็นเพราะพวกเขามีข้อเสนอราคาสูงที่กำลังเป็นที่ต้องการรอคุณอยู่ หากคุณเก่งในทักษะเขียน Copywriting คุณจะสร้างรายได้จากข้อเสนอราคาสูงนี้ได้เป็นจำนวนมากจาก Copy ขายของคุณ นั่นหมายความว่าอัตราความสำเร็จในการต่อรองเพิ่มค่าจ้างก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับค่าที่คุณมอบให้

 

Some Won’t

เช่นเดียวกับสิ่งที่คุณกำลังไขว่คว้า มีทั้งสำเร็จมีทั้งล้มเหลว ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะเห็นด้วยกับเงื่อนไขการเจรจาต่อรองเพิ่มค่าจ้างของคุณ พวกเขาอาจคิดว่าคุณเรียกเก็บแพงเกินไป หรือพวกเขาต้องการคนที่คิดราคาถูกกว่านี้ ให้คุณคิดว่ามันไม่เป็นไร คุณต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ลูกค้าทุกรายจะตอบตกลงเสมอไป

แต่คนส่วนใหญ่จะยึดติดอยู่กับการปฏิเสธ พวกเขาคิดว่าพวกเขาเองเป็นเหตุผลที่ถูกลูกค้าปฏิเสธ ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย

การปิดการขายนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลย มีตัวแปรอยู่มากมายที่ต้องคิด คุณจะโทษตัวเองเสมอไม่ได้เมื่อเกิดสิ่งผิดพลาด มันอาจเป็นเพราะกลุ่มเป้าหมายของคุณมีงบไม่พอหรือไม่มีเงิน หรือสิ่งที่คุณขายอาจจะยังไม่จำเป็นที่ต้องใช้กับธุรกิจของพวกเขาตอนนี้

คุณควรเข้าใจและยอมรับว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณที่จะให้ลูกค้าตอบตกลง คุณไม่ควรไปสนใจมันด้วยซ้ำว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในการปิดการขาย สิ่งเดียวที่คุณควรเน้นคือการทำในส่วนของคุณให้ดีที่สุด

 

So What?

คุณพยายามต่อรองค่าจ้างเขียน Copywriting และจบด้วยลูกค้าของคุณปฏิเสธ… แล้วยังไง?

คุณขายให้ลูกค้าคนนั้นไม่ได้ แล้วยังไง? เพจขายของคุณไม่ Convert แล้วยังไง? คุณหาลูกค้าในฝันที่คุณต้องการไม่เจอ แล้วยังไง? จะบอกว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลย

ให้คุณคิดเสมอว่าคุณไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ งานของคุณมีเพียงแค่นำเสนอข้อเสนอของคุณและแสดงให้พวกเขาเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เมื่อคุณทำเสร็จแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะอยู่เหนือการควบคุมของคุณ

ปัญหาคือผู้คนต้องการที่จะควบคุมผลลัพธ์ อย่างเช่น พวกเขามักจะคิดว่า “ถ้าพูดแบบนี้แทน ลูกค้าคงจะตอบตกลง!” และเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปอย่างที่หวังพวกเขาก็จะรู้สึกหดหู่และตำหนิตัวเอง ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ผิด

คุณต้องมี Mindset ของการไม่ยึดติด หมายความว่าคุณไม่ได้ยึดติดอยู่กับการขาย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นแบบใดมันก็ไม่สำคัญกับคุณ

คุณปิดการขายลูกค้าได้แบบรายเดือนนับเป็นมูลค่า 300,000 บาทต่อเดือน แล้วยังไง? มันก็แค่อีกหนึ่งวันของการเป็น Copywriter รายได้สูง จะเห็นว่าคุณตีความสิ่งต่าง ๆ อย่างไรคุณก็จะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นแบบนั้น หมายความว่าการเข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับการตีความมีผลต่อการเจรจาต่อรองได้เช่นกัน

 

ความตระหนักในการตีความ: Copywriter สามารถต่อรองเพิ่มค่าจ้างได้อย่างไร

ความตระหนักในการตีความหมายถึงการตระหนักถึงวิธีที่คุณตีความสิ่งต่าง ๆ ดังที่ Napoleon Hill กล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าจิตใจจะเข้าใจและเชื่ออะไรก็ตาม จิตใจสามารถทำให้มันสำเร็จได้” ซึ่งหมายความว่าความเชื่อของคุณมีบทบาทสำคัญในการมีอิทธิพลต่อความสำเร็จ

ตัวอย่างช่น สมมติว่าคุณกำลังขับรถอยู่บนถนนแล้วมีคนขับรถตัดหน้าคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร? โกรธใช่ไหม? หากคุณรู้สึกโกรธเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หมายความว่าคุณกำลังปล่อยให้การกระทำของมัน (ขับรถตัดหน้า) ควบคุมการกระทำและอารมณ์ของคุณอยู่

ทีนี้ในทางกลับกัน สมมติว่ามีคนขับรถตัดหน้าคุณเหมือนเดิม แต่คุณเห็นหญิงตั้งครรภ์นั่งอยู่ที่เบาะหลังพร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน กรณีเช่นนี้ คุณจะโกรธไหม? คุณอาจตีความได้ว่ารถคันนี้กำลังรีบพาหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ไปส่งโรงพยาบาลก็ได้ ซึ่งผลก็คือคุณไม่โกรธเพราะมันมีเหตุผลในการกระทำ

นี่เป็นแนวคิดที่สำคัญในทุก ๆ สิ่งที่คุณทำ ดังนั้นคุณต้องตระหนักว่าคุณตีความสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวคุณอย่างไร หากคุณไม่ตระหนักถึงวิธีการตีความสิ่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง สภาวะทางอารมณ์ของคุณอาจขึ้น ๆ ลง ๆอยู่ตลอดก็เป็นได้

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความตระหนักในการตีความ หากคุณคิดว่ากลุ่มเป้าหมายตอบว่าไม่ซื้อเพราะคุณ คุณจะรู้สึกแย่ ถ้าหากคุณไม่สนใจในสิ่งที่พวกเขาตอบ คำพูดของพวกเขาก็จะไม่ส่งผลต่อคุณ จริงไหม?

 

Someone Is Waiting

นี่เป็นแนวคิดที่มีน้อยคนที่จะเข้าใจ หากพวกเขาเข้าใจแนวคิดนี้ พวกเขาคงจะไม่สนใจในผลลัพธ์ ไม่สนใจว่ากลุ่มเป้าหมายจะตอบว่าอะไร แต่ปัญหาคือผู้คนมักจมอยู่กับการปฏิเสธของคนคนหนึ่งจนลืมไปว่ายังมีอีกหลายคนที่รอพวกเขาอยู่

ลูกค้าของคุณปฏิเสธเกี่ยวกับการต่อรองเพิ่มค่าจ้าง แล้วยังไง? มันไม่สำคัญเลยเพราะมีคนรอคุณอยู่ คนที่สามารถจ่ายค่าจ้างให้คุณได้เพราะเข้าใจในคุณค่าที่คุณเสนอให้ และในความเป็นจริงมักจะมีลูกค้าแบบนี้รออยู่เสมอ

ฉะนั้นอย่าไปมัวจมอยู่กับการพยายามปิดการขายลูกค้าหนึ่ง ๆ จนลืมแนวคิดนี้ไป หากคุณถูกปฏิเสธให้คุณหาคนถัดไปได้เลย คนที่มี Mindset ไม่ดีจะยอมให้การปฏิเสธขัดขวางความสำเร็จของพวกเขา ดังนั้นให้คุณทิ้งอดีตไว้ข้างหลังและก้าวต่อไปข้างหน้า

ไม่มีศัลยแพทย์คนไหนที่มานั่งกังวลว่ามีคนบ่นเกี่ยวกับราคาค่าตัวของพวกเขา พวกเขารู้ว่ายังมีคนไข้รายอื่นอีกมากมายที่ต้องการความเชี่ยวชาญของพวกเขา อย่าลืมว่าความสำเร็จไม่รอใคร หากคุณต้องการตามความสำเร็จให้ทัน ให้คุณก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ

 

เอาล่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างกับบทความนี้ หวังว่าคุณจะสามารถนำไปปรับใช้ในอาชีพ Copywriter ของคุณได้ ถ้าคุณอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็น Copywriter มือโปรที่มีรายได้ไม่เหมือนมือสมัครเล่น และอยากร่วมมือกับเราเพื่อร่วมเขียนสร้างโลกใบใหม่ให้กับคุณ และลูกค้าของ ThaiCopywriters.com คลิกเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้เลย