คุณอยากรู้วิธีการเขียนคำกระตุ้นการตัดสินใจหรือ Call To Action ที่ทะลวงเข้าไปในความคิดของผู้ชมที่เข้ามาดูใช่ไหม? ก่อนอื่นคุณควรรู้ก่อนว่า Call To Action คืออะไร มันคือส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งไม่ว่าจะเป็น Copy ใด ๆ สมมติว่าคุณมี Copy ที่มีหัวเรื่องดีและมีอัตราการเปิดอ่านสูง และ Copy ของคุณยังเป็นชิ้นงานที่ยอดเยี่ยมที่นำผู้เข้าชมอ่านไปจนจบ และเมื่อถึงจุดนั้น Copy ของคุณก็ขึ้นว่า “ซื้อเลยเดี๋ยวนี้” คุณคิดว่าผู้ชมที่อ่านจะรู้สึกอย่างไร?
เหมือนกับการสร้างเรื่องราวปูพื้นองค์ประกอบต่าง ๆ นา ๆ มาอย่างยอดเยี่ยมแต่ก็มาตกม้าตายตอนจบ คุณไม่อยากให้เป็นแบบนั้น จริงไหม? เมื่อใดที่ช่วงเวลาที่ Call To Action ของคุณทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่สบายใจ คุณจะสูญเสียยอดขายไปเมื่อนั้น แล้วจะเขียน Call To Action อย่างไรให้ดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเหมือนแม่เหล็ก? อยากรู้อ่านต่อ
เขียน Call To Action อย่างไรให้ปิดการขาย: เขียนกระแทกอารมณ์
Call To Action ที่ดีย่อมเริ่มต้นด้วยเหตุผลที่ดีก่อน คุณเห็นด้วยไหม?
หากผู้อ่านสามารถหาเหตุผลใด ๆ ที่จะไม่อ่านต่อได้ พวกเขาก็จะหยุดอ่านทันที ดังนั้นให้คุณถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “พวกเขาจะได้อะไร?” จากมุมมองของผู้เข้ามาอ่าน วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการขจัดสาเหตุที่ผู้อ่านจะไม่ซื้อคือการเริ่มต้นที่อารมณ์
อารมณ์ที่มีพลังมักก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มของ Copy ไปจนจบ คุณสามารถเลือกได้หลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดหรือความตื่นเต้น บางครั้งเส้นทางแห่งความเจ็บปวดอาจจบลงด้วยความกระตือรือร้นได้เช่นกัน
ดังนั้นหากคุณต้องการเรียนรู้วิธีเขียน Call To Action ให้คุณเริ่มต้นด้วยเคล็ดลับสำคัญข้อแรก
1. อย่าทำลาย Copy ของคุณเอง
สมมติว่า Copy ของคุณนั้นอ่านแล้วลื่นไหลและสร้างความเจ็บปวดทางอารมณ์ให้กับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ คุณคงไม่ต้องการให้ผู้อ่านของคุณมาสะดุด Call To Action ของคุณในตอนท้าย จริงไหม? ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วน
แทนที่จะเป็น “ซื้อและลดน้ำหนักทันที” ให้ลองพิจารณา “เผาผลาญไขมันออกจากร่างกายตอนนี้!”
แทนที่จะเป็น “จองทริปวันหยุดของคุณตอนนี้” หรือ “วางแผนวันหยุดพักผ่อนของคุณตอนนี้” ให้ลองพิจารณาคำที่ช่วยส่งเสริมให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือความลังเลแปลก ๆ ในการตัดสินใจของผู้อ่าน
อีกกลยุทธ์หนึ่งที่คล้ายกับการขับเคลื่อนอารมณ์คือการใช้ความเร่งด่วนและความกลัวที่จะพลาด ตัวอย่างเช่น “ลดราคาถึงวันศุกร์นี้” หรือ “รับส่วนลด 50%! วันนี้เท่านั้น” ทั้งสองตัวอย่างเป็นคำที่สามารถผลักดันให้ผู้อ่านตัดสินใจได้
ความกลัวที่จะพลาดดีลลดราคาหรือการไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้นั้นร้ายแรงพอที่จะทำให้ผู้คนซื้อผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาไม่ต้องการด้วยซ้ำ
2. รักษาความเสี่ยงให้ต่ำเข้าไว้
ให้คุณนึกเสมอว่าเมื่อผู้อ่านของคุณกำลังจะคลิก Call To Action พวกเขาจะประเมินความเสี่ยงและมูลค่าในหัวของพวกเขา คุณไม่ต้องการให้พวกเขาถามตัวเองว่า “จะกดดูเทรนนิ่งดีไหม?” หรือ “มันจะคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายหรือเปล่า?”
ในทางกลับกัน คุณต้องการให้พวกเขาขอร้องในหน้าชำระเงินและคิดว่า “ไม่ดูเทรนนิ่งตอนนี้ไม่ได้แล้ว!” หรือ “จ่ายแค่นี้เองเหรอ? แทบไม่ต้องคิดเลย!”
ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณควรทราบเพื่อให้ข้อเสนอของคุณมีความเสี่ยงต่ำ
- ฟรีสัมมนาหรือเทรนนิ่งบนเว็บไซต์
- ทดลองใช้ฟรี 14 วัน
- ยกเลิกได้ทุกเมื่อ
คุณต้องการ Call To Action ที่ไม่มีความเสี่ยงและไม่ผูกมัด แม้ว่าคุณจะมีคนดูสัมมนาทางเว็บและไม่มีผู้ซื้อ แต่คุณกำลังสร้างความสนใจและสร้างการติดตาม ยิ่งถ้าคุณมีการเรียกเก็บเงิน มันก็มักจะมีความเสี่ยงเล็กน้อยอยู่ แล้วคุณจะเขียน Call To Action แบบที่เรียกเก็บเงินได้อย่างไร?
หากคุณมีจุดยืนที่ชัดเจนและมีงานเขียนที่ดีอยู่ในมือ คุณสามารถรับความเสี่ยงกับสิ่งที่คุณต้องการได้มากกว่า ตัวอย่างเช่น หากคุณเรียกเก็บ 2,000 บาท คุณต้องการให้ผู้อ่านรู้สึกว่าสิ่งที่คุณเสนอมีมูลค่า 20,000 บาท!
3. มี Call To Action หลายจุด
แน่นอนว่าต้องไม่มี Call To Action หลายจุดจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ไม่อยากยื่นคำขาดให้กับผู้อ่านว่าให้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือไม่ก็ออกไป แต่ให้ทางเลือกแก่ผู้อ่านของคุณและพิจารณาว่าไม่ใช่ผู้อ่านทุกคนที่ต้องการซื้อในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณขายคอร์สราคาแพง ๆ กลยุทธ์ต่อไปนี้เป็นกุญแจสำคัญที่คุณต้องมี
ด้วยการขายผลิตภัณฑ์ราคาแพง ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่สบายใจหากต้องจ่ายเงินหลักหมื่นบาทบนอินเตอร์เน็ตและมันไม่สำคัญว่าคุณจะมีการสนับสนุนและการจุดยืนในสังคมมากมายหรือเปล่า คุณต้องมีหน้าชำระเงินสำหรับผู้ที่พร้อมจะตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องการให้มีตัวเลือกอื่น ๆ ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมีลิงก์ไปยังหน้าจองเวลาโทรเพื่อขอคำปรึกษาสำหรับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทางเลือกหนึ่งคือการมีมาสเตอร์คลาสให้ฟรีเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม หากคุณเชื่อว่าผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าต้องการเห็นผลลัพธ์ของผู้อื่น ให้คุณส่งลิงก์ไปยัง Testimonial ของคุณให้พวกเขาดู การรักษาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าไว้ให้ใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ให้คุณนึกเสมอว่าเมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าต้องเจอกับตัวเลือกที่จำกัด โอกาสในการปิดการขายของคุณจะต่ำมาก คุณจะเสียโอกาสในการปิดการขายผู้ที่ยังลังเลอยู่ในใจ ดังนั้น Call To Action ของคุณควรมีลักษณะเหมือนเหตุการณ์สำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำทางผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าไปสู่การปิดการขาย
ทุกสิ่งที่แชร์กับคุณไปข้างต้นเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติที่ดี อย่างไรก็ตามมันจะไร้ประโยชน์ทันทีหากไม่มีการทดสอบและข้อมูล
วิเคราะห์ Call To Action ของคุณ
เมื่อคุณสงสัยว่าจะเขียน Call To Action โดยไม่มีการวิเคราะห์และข้อมูลได้อย่างไร คุณจะไม่รู้ว่า Copy ของคุณทำงานเป็นอย่างไร คุณไม่รู้ว่าผู้ชมกำลังเห็น Call To Action อันไหนบ้างและคุณก็ไม่รู้ว่าจุดใดส่งเสริมการคลิกมากที่สุด มีสองเครื่องมือที่แนะนำในการวัดผลการทำงานของ Copy ของคุณ และ Call To Action ของคุณมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
เริ่มแรกคือการใช้ Heat Map เครื่องมือแบบนี้จะช่วยทำให้คุณเห็นภาพว่าปุ่มหรือลิงก์ใดที่ผู้ชมของคุณคลิกบ้าง พวกเขากำลังหาดูวิดีโอเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อมูลอยู่หรือเปล่า? หรือกำลังมองหา Testimonial เพิ่มเติม? พวกเขากำลังหาช่องทางติดต่อคุณอยู่หรือเปล่า? คุณต้องการรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังไปที่ใดบ้าง แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้อ่านของคุณเห็น Call To Action ของคุณหรือเปล่า?
หนึ่งในวิธีนั้นคือคุณสามารถติดตามด้วย Scroll Map การใช้เครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่าผู้อ่านเลื่อนไปไกลเพียงใดจะช่วยให้คุณทราบได้อย่างชัดเจนว่าผู้อ่านของคุณอ่านไปไกลเพียงใด Call To Action ของคุณอยู่ไกลเกินไปสำหรับผู้อ่านหรือเปล่า? นั่นอาจหมายความว่าคุณมี Copy ที่ยาวเกินไป บางที Call To Action ของคุณที่คุณต้องการให้ผู้อ่านคลิกนั้นขึ้นมาเร็วเกินไปจนทำให้ผู้อ่านเลื่อนผ่านไปก็เป็นได้
เมื่อคุณมีเครื่องมือเหล่านี้แล้วขั้นตอนสุดท้ายของคุณคือการทดสอบ A/B เพื่อเปรียบเทียบ
ในขณะที่คุณเสียโอกาสในการขาย คุณก็กำลังเสียเงินด้วย คุณคงไม่ต้องการทดสอบ Copy ของคุณฉบับแล้วฉบับเล่า จริงไหม? คุณควรพิจารณาแยกผู้ชมของคุณออกเป็นหลาย ๆ กลุ่มและทดสอบหน้าเว็บประเภทต่าง ๆ พร้อมกับการปรับแต่ง Call To Action ไปด้วย เพราะอะไร? เพราะข้อมูลที่ได้จากตลาดเป็นข้อมูลจริงอันมีค่าจากผู้อ่าน ด้วยการใช้การทดสอบ A/B คุณสามารถเข้าใจประสิทธิภาพของ Copy ของคุณโดยใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดน้อยลง
บทสรุป
เมื่อเรากำลังพิจารณาวิธีเขียน Call To Action เราจำเป็นต้องพิจารณาจากมุมมองของผู้อ่าน โดยให้งานของคุณมุ่งเป้าไปที่ผู้ชมโดยตรง การใช้ความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราต้องคำนึงถึงจำนวนเป็นหลัก
ไม่ควรมีอารมณ์ผูกมัดกับถ้อยคำของ Call To Action เพราะมันอาจไม่ดึงดูดใจผู้ชมที่เข้ามาอ่าน คุณต้องการให้ผู้อ่านของคุณรู้สึกว่า “ฉันต้องการมัน ความเสี่ยงก็แทบจะไม่มี” พร้อมกับอารมณ์ต่าง ๆ เช่น “ถ้าฉันไม่ซื้อมันตอนนี้แล้วไม่รู้ฉันจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่”
คุณต้องการให้ผู้อ่านที่ไม่ได้คลิกที่ Call To Action ของคุณนอนไม่หลับเพราะนึกถึงแต่ Call To Action และข้อเสนอของคุณหากคุณกำลังมองหาใครสักคนให้ตรวจสอบ Call To Action ของคุณหรือให้คำแนะนำ คุณสามารถติดต่อเราและบอกให้เราทราบถึงปัญหาที่คุณพบในหน้า Landing Page ของคุณ