ไม่ว่าคุณจะเป็น Copywriter อิสระที่เขียนงานให้กับเอเจนซีหรือทำงานเขียนรูปแบบอื่น ๆ วิธีเขียนของคุณจะส่งผลต่อรายได้ของคุณ จนบางครั้งคุณเริ่มสงสัยว่าจะเขียนอย่างไรให้เร็วขึ้นและดีขึ้น เคยรู้สึกแบบนี้ไหม?
สมมติว่าปัจจุบันคุณชาร์จค่าบริการเขียน Copy ที่ 1,000 บาทต่ออีเมลและคุณใช้เวลาสองชั่วโมงในการเขียนอีเมลหนึ่งฉบับ นั่นหมายความว่าคุณสร้างรายได้ 500 บาทต่อชั่วโมง ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคุณสามารถเขียนอีเมลฉบับเดียวกันภายในหนึ่งชั่วโมง คุณจะมีรายได้เป็นสองเท่าและสามารถเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของคุณได้
การเขียนให้เร็วขึ้นในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณควรลดคุณภาพของ Copy โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็น Copywriter เพราะคุณภาพของงานเขียนของคุณนั้นจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ของคุณ ดังนั้นคุณไม่ควรสละคุณภาพเพื่อความเร็ว
แต่… คุณรู้หรือไม่ว่ามันเป็นไปได้ที่จะเขียนให้เร็วขึ้นและคงคุณภาพได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน บทความนี้จะมาแสดงเทคนิกและกลยุทธ์ในการเขียนให้ดีขึ้นและเร็วขึ้นเพื่อช่วยให้คุณเขียนได้อย่างง่ายดายมากขึ้น จนคุณไม่ต้องนั่งจ้องหน้ากระดาษว่าง ๆ อีกต่อไป
ทำไมคุณจึงเขียนช้าและรู้สึกไร้แรงบันดาลใจ
คุณเปิดหน้าว่างบนคอมพิวเตอร์และนั่งจ้อง… คิดถึงเรื่องที่จะเขียนอย่างตั้งใจ แต่… คุณรู้สึกเหมือนสมองไม่แล่น ฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือปัญหาส่วนตัว หรือคุณพิมพ์ไปประโยคหนึ่งและลบมันทันทีที่เสร็จ ก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่าคุณใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการพยายามเขียนและผลลัพธ์ก็คือหน้าว่างเหมือนเดิม เคยเป็นกันไหม?
พอเป็นแบบนี้คุณก็บอกกับตัวเองว่ามันเขียนไม่ออก (Linking to DLW19) และตัดสินใจที่จะเขียนวันถัดไปแทน คุณอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเพราะคนเราไม่สามารถเรียกใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกมาได้ตามต้องการ คิดแบบนี้หรือเปล่า? จะบอกว่ามันก็ไม่จริงเสียทั้งหมด
สิ่งที่เรียกว่าเขียนไม่ออกนั่นมันเป็นเหมือนเรื่องที่คุณจินตนาการขึ้นมาเอง แล้วทำไมคุณถึงเขียนช้าและรู้สึกไม่มีแรงบันดาลใจล่ะ? มันอาจจะเป็นเพราะคุณไม่ได้บริโภคคอนเทนต์อย่างเพียงพอ
จริง ๆ แล้วคุณภาพของผลลัพธ์ที่ออกมาของคุณ (Output) จะถูกกำหนดโดยสิ่งที่คุณทำ (Input) หากคุณไม่อ่าน ค้นคว้า และสนุกกับการเป็น “ผู้บริโภค” สักหน่อย คุณก็จะมีปัญหาในการเขียนให้เร็วขึ้นและดีขึ้นได้
ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณเผชิญปัญหาเขียนไม่ออก ให้คุณลองบริโภคคอนเทนต์จากผู้อื่นดูบ้าง และด้านล่างนี้จะแสดงเทคนิกในการบริโภคอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มความเร็วในการเขียน Copy ของคุณได้
ทำไมผลลัพธ์ของคุณ (Output) จึงถูกกำหนดโดยสิ่งที่คุณทำ (Input)?
คุณอาจคิดว่า Copywriter ที่มีฝีมือทั้งหลายคิดไอเดียของพวกเขาด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วนักเขียนที่ยอดเยี่ยมทุกคนมักได้รับแรงบันดาลใจจากที่ไหนสักแห่งเสมอ
Copywriting เป็นเหมือนกระบวนการที่มีขั้นมีตอนอยู่ แทนที่จะคิดไอเดียที่ไม่เหมือนใคร ให้ลองเอาสิ่งที่ได้ผลจากผู้อื่นมาดูและเลียนแบบความสำเร็จของพวกเขาแทน
ไม่ใช่ว่าไม่ควรคิดไอเดียที่ไม่เหมือนใครออกมา แต่การคิดไอเดียที่จะออกมาปังเลยมันไม่ง่าย ในทางกลับกันการเอาสิ่งที่ได้ผลมาใช้และทำให้เป็นแบบของคุณเองนั้นง่ายกว่ามาก ซึ่งมันจะช่วยปรับปรุงคุณภาพและผลลัพธ์ของ Copy การขายของคุณได้ดีทีเดียว
ดังนั้นแทนที่จะพยายามเป็นอัจฉริยะด้านงานสร้างสรรค์ ให้ลองโฟกัสไปที่สิ่งที่ได้ผลแทน และเมื่อเวลาผ่านไปไอเดียดี ๆ ก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาคุณเองตามธรรมชาติเหมือนเป็นการสอนตัวคุณเองให้คิดแบบนักการตลาดมากขึ้น
อ่านต่อ… เพื่อดูว่าอะไรคือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ Input อย่างมีกลยุทธ์บ้าง
1. ทำการศึกษาค้นคว้า
ในฐานะ Copywriter การทำการศึกษาค้นคว้ามีความสำคัญมากกว่ากระบวนการเขียนจริง ในระหว่างที่คุณค้นคว้าอยู่ คุณจะพบว่า:
- ผลิตภัณฑ์ที่คุณขายสามารถทำอะไรได้บ้าง
- ทำไมมันถึงใช้ได้ผล
- กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใครบ้าง
- พวกเขามีปัญหาอะไรอยู่
- อะไรคือสิ่งที่พวกเขาลองก่อนหน้านี้เพื่อแก้ปัญหาแล้วบ้าง
การค้นคว้าจะช่วยให้คุณเข้าใจผู้อ่านของคุณ ซึ่งมันสามารถทำให้คุณเขียนเป็นภาษาของพวกเขาและสร้างความไว้วางใจให้กับพวกเขาได้
นอกจากนี้มันยังช่วยให้คุณเขียนได้เร็วและดีขึ้นอีกด้วย เมื่อคุณหมกมุ่นอยู่กับหัวข้อนั้น ๆ คุณจะพบกับแนวคิดและไอเดียใหม่ ๆ บางทีกลุ่มเป้าหมายของคุณอาจกำลังมีปัญหาที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนก็เป็นได้
ดังนั้นการค้นคว้าวิจัยจะช่วยให้คุณเปิดใจให้กว้างขึ้นและค้นหาสิ่งที่น่าสนใจใหม่ ๆ ที่จะเขียนเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ และในเมื่อคุณอ่านผ่านตามาบ่อย ๆ จิตใต้สำนึกของคุณก็จะประมวลผลและเก็บมันไว้ในหน่วยความจำที่ใดที่หนึ่งที่สมองของคุณสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและทำให้คุณเขียนได้เร็วขึ้น
ดังคำกล่าวที่ว่า “คุณไม่สามารถเทอะไรจากถ้วยเปล่าได้” มันเหมือนกับการพยายามสร้างบางสิ่งจากความว่างเปล่า งานเขียนก็เช่นกันหากคุณเขียนโดยไม่มีการศึกษาค้นคว้ามาก่อน
ให้คุณลองทำการค้นคว้าดูแล้วคุณจะรู้ว่าคุณเขียนได้เร็วมากขึ้นแค่ไหน
2. บริโภคคอนเทนต์ แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม
เคล็ดลับนี้สำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เขียนได้ดีขึ้น คุณต้องมีไอเดียใหม่ ๆ มากขึ้นเพื่อปรับปรุง Copy ของคุณให้ดีขึ้น หลาย ๆ คนยังสงสัยว่าไอเดียพวกนี้คืออะไรกันแน่
ไอเดียคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณรวมสองสิ่งที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น iPod ที่ผ่านมาถือเป็นแนวคิดใหม่ เพราะคุณสามารถบอกได้ว่ามันเป็นส่วนผสมของโทรศัพท์มือถือและเครื่องเล่นเพลงพกพาที่เป็นเทปหรือซีดี
ไอเดียเด็ด ๆ มักจะเอาแนวคิดที่มีอยู่มาจับคู่กับสิ่งใหม่ ๆ มาถึงจุดนี้หลายคนคงเกิดคำถามว่า แล้วมันเกี่ยวกับการเขียนอย่างไร?
บางครั้งความคิดหรือไอเดียเด็ดดวงของคุณอาจมาจากคอนเทนต์ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณกำลังเขียนอยู่เลยก็ได้ ฉะนั้นคุณควรปล่อยให้ตัวเองมีความสุขกับการอ่านมัน ถึงแม้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับงานของคุณโดยตรงก็ตาม แต่อย่าลืมกำหนดระยะเวลาไว้ด้วย เพราะบางครั้งคุณอาจจะใช้เวลากับมันมากเกินไปจนทำให้คุณลืมจุดประสงค์หลัก
คุณจะสังเกตเห็นว่าคุณมีช่วงเวลา “ปิ๊งไอเดีย” มากขึ้นเหมือนกับตอนที่คุณอาบน้ำแล้วเกิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา คุณเคยเป็นไหมเวลาที่คุณพยายามคิดหาไอเดียอะไรบางอย่างทั้งวัน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่ทันทีที่คุณลุกไปอาบน้ำเท่านั้นล่ะ ความคิดใหม่ ๆ ไอเดียโดน ๆ มาเต็มเลยทีเดียว
มันคือการที่จิตใต้สำนึกของคุณกำลังทำงานกับคอนเทนต์ที่คุณเคยดูมาก่อน บางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน จิตสำนึกของคุณจึงไม่เข้ามารบกวน ทำให้คุณคิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
3. ใช้ Writing Prompt
ตอนนี้คุณอาจเข้าใจแล้วว่าคุณไม่ต้องเริ่มเขียนด้วยหน้ากระดาษว่างตลอด เพื่อให้เขียนได้เร็วขึ้นและดีขึ้น คุณต้องมีเนื้อหาบางอย่างรอคุณอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นงานค้นคว้าวิจัย หรือคอนเทนต์บางส่วนที่คุณเคยบริโภคมาก่อน
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งจ้องหน้ากระดาษว่างคือการใช้ Writing Prompt มันอาจเป็นได้ทั้งข้อความเพียงไม่กี่คำหรือทั้งย่อหน้าก็ได้ จุดประสงค์ของมันคือการเสริมความคิดบางอย่างให้กับคุณเพื่อให้เริ่มต้นเขียนได้
ตัวอย่างเช่น Prompt ของคุณสามารถใช้เป็นหัวเรื่องหรือประโยคแรกและคุณก็เริ่มเขียนตามนั้น หรืออาจให้หาคำที่คุณสามารถนำไปใช้ในงานเขียนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมันจะฝึกให้คุณเขียนโดยใช้เค้าโครงประกอบ
คุณไม่จำเป็นต้องสร้าง Copy ใหม่ทั้งหมดด้วยตัวของคุณเอง มันเปรียบเสมือนตัวช่วยสร้างจุดเริ่มต้นให้สมองของคุณคิดไปต่อได้
4. ใช้ประโยชน์จาก Swipe File
อีกเทคนิกหนึ่งในการเขียนให้เร็วขึ้นและดีขึ้นคือการใช้ Swipe File ซึ่งเป็นที่ที่เก็บรวบรวม Copy ที่สร้างผลลัพธ์มาก่อนอย่างได้ผลและบางส่วนของ Copy ที่คุณชอบ
มันเปรียบเสมือนแหล่งรวมไอเดียส่วนตัวของคุณที่คุณสามารถเปิดดูและใช้อ้างอิงเมื่อกำลังเขียนหัวเรื่อง หัวข้อย่อย หรือกระทั่ง CTA
ข้อได้เปรียบของการใช้ Swipe File เมื่อเทียบกับการใช้ Writing Prompt คือเทคนิกนี้รวม Copy ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล ฉะนั้นคุณจึงรู้ว่ามันได้ผลจริงแท้แน่นอน
ในระหว่างที่คุณค้นคว้าวิจัย คุณสามารถกลับมาดู Swipe File ของคุณได้ บางทีคุณอาจรวบรวม Copy การขายจากอุตสาหกรรมที่คล้าย ๆ กันอยู่ หรือบางทีคุณอาจจำประโยคเด็ดที่คุณอยากใช้ในงานเขียนก็เป็นได้
Swipe File ของคุณเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นเขียนเมื่อเทียบกับการจ้องหน้ากระดาษเปล่า และมันจะช่วยให้คุณเขียนได้เร็วขึ้นและดีขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตามข้อเสียอย่างเดียวของมันคือคุณต้องสะสมมันขึ้นมาก่อน
หากคุณเพิ่งเริ่มต้น มันอาจต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อเก็บสะสม Swipe File ของคุณเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันคุ้มค่าแน่นอน
5. สร้างโครงร่างก่อนเขียน
การสร้างโครงร่างก่อนที่คุณจะเขียนอาจฟังดูไม่สนุกเท่าไรนัก มันอาจทำให้คุณย้อนนึกไปถึงสมัยที่คุณยังเรียนอยู่มัธยมที่คุณต้องส่งเค้าโครงร่างสำหรับการบ้านเขียนเรียงความ
แต่เพื่อให้เขียนได้เร็วขึ้นและดีขึ้น การใช้โครงร่างถือเป็นเครื่องมือที่ดีทีเดียว จริง ๆ แล้วการเขียนที่ชัดเจนมักมาจากความคิดที่ชัดเจน การสร้างโครงร่างก่อนที่คุณจะเริ่มวางปากกาลงบนกระดาษจะช่วยให้คุณสามารถจัดโครงสร้างความคิดของคุณได้
ด้วยเหตุนี้ Copy ที่คุณสร้างจะอ่านง่ายและสัมพันธ์กัน หากไม่มีโครงร่าง งานเขียนของคุณอาจกระโดดจากความคิดหนึ่งไปสู่อีกความคิดหนึ่งซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านสับสนได้ และนั่นคือปัญหาใหญ่เพราะจิตใจที่สับสนของผู้อ่านมีโอกาสทำให้พวกเขาไม่ซื้อสูง
มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเขียน คุณสามารถสร้างโครงร่างของคุณเองหรือใช้โครงร่างที่พิสูจน์แล้วก็ได้ (Linking to DLW6) แต่ถ้าคุณเขียนบล็อกโพสต์ คุณอาจจะต้องการสร้างโครงร่างของคุณเองเพื่อนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ
ในทางกลับกันเมื่อคุณเขียนอีเมล คุณต้องแน่ใจว่ามัน Convert ดังนั้นการเขียนอีเมลจึงเหมาะสมที่จะใช้โครงร่างที่พิสูจน์แล้ว อย่างสูตร PAS ซึ่งย่อมาจาก ปัญหา (Problem) เร่งเร้าปัญหา (Agitate) และเสนอวิธีแก้ปัญหา (Solution) สูตรนี้มักจะใช้กับโครงสร้างของ Copy การขายเป็นส่วนมากและมันยังเป็นที่นิยมอีกด้วย เพราะมันสามารถใช้งานได้จริง
โครงร่างช่วยให้คุณสร้างงานเขียน Copy อย่างมีเป้าหมาย มันจะทำให้คุณคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จก่อนที่คุณจะเริ่มพิมพ์ที่แป้นพิมพ์ของคุณและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการเขียนได้เร็วขึ้นและดีขึ้น
แต่ข้อเสียของการใช้โครงร่างคือมันเป็นเทคนิกที่ถูกคาดเดาได้ง่ายเกินไป อย่าลืมว่าหากผู้อ่านของคุณสามารถบอกได้ว่าคุณจะพูดอะไรต่อไป มันอาจจะไม่ดึงดูดให้พวกเขาซื้อได้
6. เขียนตอนเมา เกลาตอนสร่าง
เทคนิกนี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปเมาจริง ๆ แล้วค่อยเขียน
แต่มันหมายถึงการเขียนโดยไม่มีการแก้ไข นั่นคือให้คุณเขียน Copy ออกมาทั้งหมดในคราวเดียวโดยไม่ต้องย้อนกลับไปคิด หรือในกรณีที่ Copy ที่คุณกำลังเขียนมันยาวมาก ก็ให้คุณเขียนเป็นส่วน ๆ ไปแต่ยังไม่ต้องแก้ไข
คุณต้องให้ส่วนการเขียนกับส่วนแก้ไขแยกจากกัน เนื่องจากการแก้ไขระหว่างที่คุณพิมพ์อยู่นั้นจะทำให้คุณเขียนช้าลง คุณจะคิดย้อนกลับไปทุกคำที่เขียนแทนที่จะปล่อยให้ความคิดของคุณสร้างคำอย่างไหลลื่นออกมา แล้วคุณก็จะเริ่มคิดมากเรื่องแก้ไข หากคุณต้องการสร้าง Copy ที่เร็วขึ้นและดีขึ้น ให้คุณกำหนดเป็นกฎไว้ว่าต้องเขียนให้จบภายในคราวเดียวโดยไม่ต้องคิดเยอะหรือแก้ไขมัน
หลังจากเขียนเสร็จแล้วให้คุณหยุดพักเล็กน้อย ในระหว่างนี้ให้คุณหันไปทำอย่างอื่นโดยไม่ต้องคิดเรื่องงานเขียน หลังจากคุณได้หยุดพักแล้ว ให้คุณกลับมาที่งานเขียนของคุณและทำการแก้ไข นั่นคือส่วนที่คุณปรับแต่งคำและทำให้งานเขียนของคุณโดดเด่น
เมื่อคุณเขียนเสร็จในคราวเดียว แนะนำว่าอย่าไปคิดมากว่า Copy ที่ออกมาจะออกมาดูธรรมดา ไม่น่าสนใจ อย่าไปกลัวว่ามันจะออกมาไม่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณสามารถไปแก้ไขในภายหลังได้
นักเขียนบางครั้งกลัวที่จะเริ่มต้นเพราะคิดว่าพวกเขาต้องสร้างผลงานชิ้นเอก เมื่อคุณยอมให้ตัวเองเขียนโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไร คุณก็จะขจัดความกลัวนี้ได้
คุณไม่จำเป็นต้องเขียนร่างอันแรกที่สมบูรณ์แบบ เพียงแค่เริ่มต้นให้ได้แล้วคุณจะค่อย ๆ เขียนได้เร็วขึ้นและดีขึ้นเอง
7. นัดหมายเวลากับตัวคุณเอง
ในการสัมภาษณ์ Stephen King ผู้เป็นนักเขียนนวนิยายชื่อดังเล่าว่าเขาเขียนหกหน้าทุกวัน
คุณจะเห็นว่า Stephen King เป็นนักเขียนที่มีผลงานขายดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะเรียนรู้ว่าเขามีแนวทางการเขียนอย่างไร นิสัยของเขาที่เขียนทุกวันอาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของเขา
หากคุณใช้เวลาเขียนทุกวัน คุณคิดว่าคุณจะเขียนได้เร็วและดีขึ้นหรือเปล่า? คุณอาจไม่ได้สร้างผลงาน Copy การขายที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ทุกวันก็จริง แต่การสร้างนิสัยจะช่วยให้คุณสร้างแรงผลักดันได้
มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าน่าเบื่อสุด ๆ แต่ถ้าคุณทำไปเรื่อย ๆ คุณคิดว่าคุณจะไม่พัฒนาขึ้นเลยหรือ? ฉะนั้นนัดหมายเวลากับตัวคุณเองทุกวันและกำหนดเวลาเขียนของคุณซะ
ในช่วงเวลาเขียน คุณต้องหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนทั้งหมด ปิดโทรศัพท์ของคุณหรือทิ้งไว้ในห้องอื่น บอกคนอื่น ๆ ในบ้านว่าอย่าเข้ามารบกวนคุณ
ไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิกใดที่กล่าวมา อย่างการทำวิจัยในหัวข้อที่คุณสนใจ หรือการใช้ Writing Prompt และดูที่ Swipe File ของคุณ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนให้เร็วขึ้นและดีขึ้นคือคุณต้องเขียนทุกวัน
8. เขียนตอนคุณรู้สึกเหนื่อย
คุณรู้หรือไม่ว่าคุณมีโอกาสที่จะเขียนได้ดีขึ้นและเร็วขึ้นเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยหรือเบลอ นั่นคือสิ่งที่งานวิจัยแนะนำจากการศึกษากับนิสิตปริญญาตรี 428 คน
พวกเขาทดสอบกับนิสิตที่ชอบศึกษาตอนเช้าและนิสิตที่ชอบศึกษาตอนกลางคืน พวกเขาถูกทดสอบโดยขอให้แก้ปัญหาบางอย่าง นักวิจัยค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจว่านิสิตที่ชอบศึกษาตอนเช้าทำได้ดีในเวลากลางคืนและนิสิตที่ชอบศึกษาตอนกลางคืนทำได้ดีในตอนเช้ามืด
มันดูเหมือนว่าสมองของมนุษย์เราจะอยู่ในจุดพีคสุดของความคิดสร้างสรรค์เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า นั่นอาจเป็นเพราะความคิดที่มีวิจารณญาณของเราทำงานน้อยลงและไม่ได้คิดมากจนเกินไป
ดังนั้นหากคุณต้องการเขียนให้เร็วขึ้นและดีขึ้น คุณอาจลองใช้วิธีนี้ดู มันยังเป็นความคิดที่ดีในการช่วยไม่ให้คิดมากในระหว่างเขียนอีกด้วย
9. เขียนเหมือนที่คุณพูด
ในฐานะ Copywriter คุณควรเขียนด้วยน้ำเสียงเชิงสนทนาเพื่อให้ผู้ชมติดตามคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะให้ความสนใจในงานเขียนของคุณเพียงครึ่งเดียวก็ตาม
หากการจ้องมองไปที่หน้ากระดาษว่างเปล่าทำให้คุณคิดมากจนเขียนไม่ออก ให้คุณลองบันทึกที่ตัวเองพูดและพิมพ์สิ่งที่คุณพูดลงไป
ลองคิดดูว่าเมื่อคุณคุยกับเพื่อนสนิท คุณเคยมีเหตุการณ์แบบคิดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรไหม? อาจจะไม่มี จริงไหม? (เอ๊ะ… หรืออาจจะมี… ฮ่า ๆ) ดังนั้นใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์และเขียนสิ่งที่คุณพูดเหมือนพูดกับเพื่อนของคุณ
ไม่เพียงแต่คุณจะเขียนได้เร็วขึ้นเท่านั้น มันยังทำให้คุณเขียนได้ลื่นขึ้นอย่างไม่มีสะดุดอีกด้วย คำพูดของคุณจะเต็มไปด้วยอารมณ์มากขึ้นเมื่อคุณจินตนาการว่าคุณกำลังคุยกับคนที่คุณรู้จักอยู่
การเขียนเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ของคุณลงบนหน้ากระดาษ คุณรู้สึกอย่างไรระหว่างที่คุณเขียนจะมีผลต่อ Copy ของคุณ ดังนั้นแนะนำให้ใช้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เพื่อยกระดับงานเขียนของคุณ
เป็นอย่างไรบ้างกับบทความนี้ ถ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Copywriting อยากรู้ว่าจะเป็น Copywriter ได้อย่างไร คลิกลิงก์นี้ได้เลย