Brand Voice ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่รู้จัก และเป็นที่น่าจดจำสามารถช่วยทำให้คุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง หากไม่มี Brand Voice ที่โดดเด่น กิจการของคุณอาจหลงอยู่ในตลาดที่มีคู่แข่งอยู่หนาแน่นและเต็มไปด้วยสินค้าและบริการที่คล้ายคลึงกัน
Brand Voice เป็นมากกว่าการเขียนด้วยโทนที่สม่ำเสมอตลอดคอนเทนต์ของคุณ มันเป็นเรื่องของการสร้างบุคลิกของแบรนด์ซึ่งเชื่อมต่อกับลูกค้าลึกเข้าไปยังจิตใจ และพูดกับพวกเขาในแบบที่พวกเขาเข้าใจและชื่นชม
แต่คุณจะสร้าง Brand Voice อย่างสม่ำเสมอได้อย่างไรหากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหน? ถ้าหากคุณต้องการตรวจสอบและแก้ไขสิ่งที่คุณได้สร้างไว้แล้วล่ะ?
วิธีหนึ่งของการแก้ปัญหาในการสร้างและรักษา Brand Voice ที่มีประสิทธิภาพคือการจ้าง Copywriter มืออาชีพเฉพาะทาง
การมี Copywriter อย่างน้อยหนึ่งคนทำงานประจำให้กับกิจการของคุณจะช่วยให้มั่นใจว่าคอนเทนต์ของคุณมีความสอดคล้องกัน นอกจากนี้ Copywriter มืออาชีพยังมีทักษะที่ถูกปรับให้เหมาะกับสิ่งที่เข้าใจยากอย่าง Brand Voice ของบริษัทและทำให้มันเป็นรูปธรรม
ทำไม Brand Voice ถึงสำคัญ
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ความประทับใจแรกนั้นสำคัญ ไม่เพียงแค่นั้นผู้คนยังสร้างความประทับใจแรกที่มีต่อแบรนด์ของคุณได้เร็วมาก คุณมีเวลาอย่างมากประมาณ 7 วินาทีก่อนที่คน ๆ หนึ่งจะตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่คุณนำเสนอหรือไม่
สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างมากในการทำให้ผู้สนใจเริ่มขั้นตอนการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์และธุรกิจของคุณ หากคุณไม่ดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้แล้ว พวกเขาจะหมดความสนใจอย่างรวดเร็วและเดินหน้าหาสิ่งที่ต้องการจากคู่แข่งของคุณต่อไป
Brand Voice ที่บกพร่องอาจส่งผลให้ผู้สนใจของคุณเลือกที่จะทำธุรกิจกับคู่แข่งของคุณแทน
อะไรที่ทำให้คุณแตกต่างจากคู่แข่งของคุณ? โดยการมี Brand Voice ที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับธุรกิจของคุณ คุณจะตอบคำถามนี้ให้กับผู้อ่านได้ทันทีและเชิญชวนให้พวกเขาค้นหาคุณและบริษัทของคุณว่าเกี่ยวกับอะไร
การมีความสม่ำเสมอของ Brand Voice ในทุกแพลตฟอร์มเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาลูกค้า โทนที่สม่ำเสมอช่วยสร้างความคุ้นเคยต่อแบรนด์ของคุณ และงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าความคุ้นเคยยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกรรมทางธุรกิจ
คุณควรคิดเสมือนว่า Brand Voice เป็นบุคลิกของกิจการของคุณ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบ B2B คุณก็ยังขายให้กับผู้คนอยู่ดีซึ่งอย่างที่รู้ว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเราและยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์แน่นแฟ้นมากเท่าไร ความสัมพันธ์นั้นก็จะยิ่งคงทนมากขึ้นเท่านั้น
ในการสร้าง Brand Voice ที่ชัดเจน โดดเด่น สม่ำเสมอ และน่าดึงดูดใจ Copywriter จะใช้สามเทคนิกต่อไปนี้:
- ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการพูดภาษาของพวกเขา
- ดึงดูดผู้สนใจด้วยอารมณ์ผ่านการเล่าเรื่อง
- รักษาลูกค้าด้วยสไตล์ที่สม่ำเสมอ
“ต้องแบบนี้สิถึงจะคุยกันรู้เรื่องหน่อย!”
ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนอยากให้คู่สนทนาพูดกับตัวเองเหมือนพูดกับเด็ก หรือมันไม่เหมาะที่จะสนทนาเกี่ยวกับการเมืองกับเด็กน้อย
ทั้งสองกรณีนี้คือปัญหาในการใช้ภาษาที่เหมาะสมในบริบทที่ถูกต้อง
เช่นเดียวกับวิธีที่คุณสื่อสารกับตลาดเป้าหมายของคุณ คุณอาจมีความคิดอุปาทานไปก่อนเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าของคุณชอบเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ แต่โอกาสที่คุณจะพลาดเป้าหมายนั้นมีมากกว่า
เว้นแต่ว่าคุณจะใช้เวลาในการค้นหาภาษาที่ลูกค้าของคุณใช้
Copywriter ที่ดีจะรู้ดีว่าผู้คนชอบถูกพูดถึงด้วยคำพูดของตัวเอง ซึ่ง Copywriter จะรวบรวมคำเหล่านี้ไว้ในที่เดียวไม่ว่าจะผ่าน Testimonial หรือการติดต่อโดยตรงกับลูกค้าปัจจุบัน เมื่อรวบรวมไว้แล้ว คำเหล่านี้จะใช้ในคอนเทนต์และโทนในสื่อการตลาดของคุณโดยตรง
ด้วยการใช้คำที่ตรงตามที่ลูกค้าของคุณใช้เพื่ออธิบายทั้งปัญหาของพวกเขาและทางออกของปัญหาที่คุณเสนอให้ คุณได้เชื่อมต่อกับพวกเขาในระดับบุคคล นั่นหมายถึงพวกเขารู้สึกได้รับความเข้าใจซึ่งทำให้การชื่นชมแบรนด์ของพวกเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ผู้คนไม่ซื้อจากคุณเพียงเพราะพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณขาย แต่พวกเขาจะซื้อจากคุณเพราะพวกเขารู้สึกถูกเข้าใจ” Dan Lok
สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ผ่านเรื่องราว
การเล่าเรื่องเป็นงานอดิเรกที่เก่าแก่และเป็นสากลที่สุดอย่างหนึ่ง
เรื่องราวมีอำนาจในการกลั่นกรองข้อมูลที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมในรูปแบบที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ทันที
เรื่องราวมีจุดประสงค์อยู่สองประการเมื่อคุณสร้าง Brand Voice:
- วาดภาพที่ชัดเจนว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์อย่างไรบ้างจากบริการของคุณ
- ถ่ายทอดคุณค่าของกิจการของคุณโดยไม่ต้องอาศัยคำศัพท์ทางเทคนิกที่ซับซ้อน
ใช้เรื่องราวเป็นจุดขาย
พลังของการเล่าเรื่องราวสรุปได้ในสุภาษิตโบราณว่า “Facts tell, but Stories sell” ซึ่งตีความได้ว่า หากคุณต้องการให้ผู้คนซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ คุณต้องใช้การเล่าเรื่องราว ไม่ใช่แค่บอกว่าสินค้าหรือบริการของคุณคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง
Copywriter ที่ดีจะรู้วิธีแปลงข้อเสนอของธุรกิจให้เป็นสิ่งที่ตรงใจกับตลาดเป้าหมายด้วยการใช้ประโยชน์จากการเล่าเรื่อง
ผู้สนใจมีแนวโน้มที่จะเข้าใจสินค้าหรือบริการว่ามันสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้บ้างหากนำเสนอในรูปแบบเรื่องราว อย่างไรก็ตาม ควรมีการระวังอย่าใช้เรื่องราวเพื่ออวยตัวเองจนเกินไป ให้จำไว้เสมอว่าผู้สนใจของคุณมักจะถามตัวเองว่า “ฉันจะได้อะไรจากมันบ้าง?”
ตัวอย่างที่ดีที่ Copywriter ใช้การเล่าเรื่องราวเพื่อสร้าง Brand Voice คือการเล่าเรื่องผ่านกรณีศึกษา หากทำอย่างถูกต้องกรณีศึกษาจะแสดงภาพที่ชัดเจนว่าแบรนด์ของคุณจะช่วยแก้ปัญหาของผู้คนจริง ๆ ได้อย่างไร หากผู้สนใจมีความสอดคล้องกับตัวละครในเรื่องที่เล่า พวกเขาจะคิดทันทีว่าคุณสามารถแก้ปัญหาของพวกเขาได้เช่นกัน
อะไรคือ Why ของคุณ?
อีกวิธีหนึ่งที่ Copywriter ชั้นนำใช้เรื่องราวคือการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์
ธุรกิจจำนวนมากมักใช้ศัพท์แสงอุตสาหกรรมใน Copy ของตน แต่ปัญหาคือไม่มีใครอยากได้ยินว่าธุรกิจของคุณจะโดดเด่นหรือล้ำหน้าสักแค่ไหน
พวกเขาแค่ต้องการรู้ว่าธุรกิจของคุณให้คุณค่าอะไรจริง ๆ แก่พวกเขา
ด้วยการใช้เรื่องราวอย่างมีประสิทธิภาพภายในคอนเทนต์ของคุณ Copywriter ที่ดีสามารถเรียบเรียงคุณค่าและเป้าหมายของธุรกิจของคุณได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แนวคิดทางเทคนิกที่มากเกินไป
จากการศึกษาโดย Harvard Business Review พบว่า 64% ของลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับแบรนด์หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่าร่วมกัน (คนไทยเราอาจะเรียกว่าศีลเสมอกันก็ได้นะ…) ด้วยการแบ่งปันคุณค่าของคุณผ่านพลังของการเล่าเรื่องราว คุณมั่นใจได้ว่าจะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีค่าเหล่านั้น
ความสม่ำเสมอคือที่สุด
ให้คุณลองนึกภาพความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดของคุณดู หากคุณรู้จักคน ๆ นั้นมานาน คุณจะสังเกตเห็นได้ทันทีเมื่อพวกเขามีพฤติกรรมที่แปลกไป
หากคุณมีเพื่อนร่วมงานที่มักจะติดกระดุมยันคอและโกนหนวดเกลี้ยงเกลาไร้ที่ติ คุณคงจะรู้สึกตกใจไม่น้อยหากเห็นเพื่อนร่วมงานคนนั้นเข้ามาทำงานโดยสวมกางเกงวอร์มและไว้หนวดเครา จริงไหม?
เมื่อมีคนมาละเมิดความคาดหวังของเรา มันจะทำการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเราทันที หรือความสงสัยในบางกรณี
และนี่คือสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการให้ลูกค้าของคุณรู้สึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คุณทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสร้างสายสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจนี้
วิธีที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดร้ายแรงนี้คือการรักษาโทนที่สม่ำเสมอตลอดทั้งคอนเทนต์ สื่อการตลาด และข้อความทั้งหมดของคุณ คุณต้องตัดสินใจว่าคำ วลี และโทนใดที่กำหนด Brand Voice ของคุณ
ที่สำคัญกว่านั้น คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะไม่พูดอะไรกับลูกค้าของคุณ
หากคุณตัดสินใจว่าบุคลิกของแบรนด์ของคุณเป็นที่น่าเชื่อถือ มีประโยชน์ และเป็นกันเอง มันอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะใช้คำสแลงหรืออารมณ์ขันที่หยาบคายในอีเมลของคุณ
ส่วนมาก Copywriter ที่รอบรู้หรือมีประสบการณ์จะรู้วิธีป้องกันข้อผิดพลาดราคาแพงนี้ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมขายและทีมการตลาดของคุณ พวกเขาสามารถช่วยคุณสร้างคำแนะนำเกี่ยวกับสไตล์สำหรับแบรนด์ของคุณได้
คำแนะนำสไตล์นี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องป้องกันที่เป็นประโยชน์สำหรับโทนและ Brand Voice ของคุณ ซึ่งทำให้คุณได้ไอเดียที่ชัดเจนว่า “ให้พูดแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น” หมายถึงอะไรสำหรับกิจการของคุณ ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมขายและทีมการตลาดตลอดจนลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณ ในไม่ช้าทีม Copywriting ของคุณจะมีภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการนำเสนอบุคลิกของแบรนด์ของคุณสู่สาธารณะ
บทสรุป
เป็นการยากที่จะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา Brand Voice ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากไม่มีมัน คุณจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำให้ผู้คนสังเกตเห็นแบรนด์ของคุณ ตลอดจนการขายสินค้าหรือบริการ
และการรักษาลูกค้าประจำ องค์ประกอบทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำธุรกิจ
Copywriter ที่รอบรู้หรือมีประสบการณ์จะรู้เรื่องนี้และสามารถช่วยคุณรวมข้อความที่ต้องการจะสื่อของคุณให้เป็น Brand Voice ที่สอดคล้องกันและเป็นที่รู้จักโดยใช้วิธีการต่อไปนี้:
- ใช้ภาษาของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ใช้พลังของการเรื่องราวเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์
- การรักษารูปแบบอย่างสม่ำเสมอในคอนเทนต์และสื่อการตลาดทั้งหมด
ทีนี้เมื่อคุณมีไอเดียในการสร้างและรักษา Brand Voice ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของคุณแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่จะให้ Copywriter มืออาชีพทำงานให้คุณ ด้วยพลังของ Brand Voice ที่เป็นที่รู้จัก คุณจะโดดเด่นกว่าคู่แข่งอื่น ๆ และสร้างแฟนตัวยงให้ติดตามแบรนด์ของคุณ
พร้อมหรือยังที่จะจ้าง Copywriter มืออาชีพ? คลิกที่นี่เพื่อเริ่มต้นและปรึกษาหนึ่งใน Copywriter เฉพาะทางของเราวันนี้